การให้ค่าตอบแทนและบำเหน็จความชอบ
ในการบริหารงานบุคคลนั้น ขั้นตอนที่สำคัญตอนหนึ่ง คือ การให้ค่าตอบแทนและบำเหน็จ ความชอบ แก่ข้าราชการและลูกจ้างที่ปฏิบัติหน้าที่มาด้วยดี เพราะค่าตอบแทนและบำเหน็จความชอบเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ข้าราชการและลูกจ้างสามารถดำรงชีพอยู่ได้ในสังคม และยังเป็นสิ่งจูงใจ สร้างขวัญและกำลังใจของข้าราชการให้ดีขึ้น อันมีผลโดยตรงไปถึงประสิทธิภาพในการทำงานของข้าราชการ
ผู้ที่เข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือน ตั้งแต่ชั้นเสนาบดีลงมานั้น ไม่ได้รับเงินเดือน เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ของราษฎรทุกคนที่จะต้องทำงานให้แก่ประเทศชาติ การที่จะได้รับค่าตอบแทนในรูปใด ๆ จะเป็นไปตามพระราชอัธยาศัยของพระเจ้าแผ่นดิน สุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่ทั้งนี้ ข้าราชการจะมีรายได้จากราษฎรที่มาติดต่องานราชการในรูปของผลประโยชน์ที่ได้จากการปฏิบัติราชการเป็นการตอบแทน ได้แก่
นอกจากนี้ข้าราชการที่ถูกตั้งให้ไป “กินเมือง” หรือ ว่าราชการเมือง ทำหน้าที่เป็นเจ้าเมือง ดูแลทุกข์สุข ของราษฎร ซึ่งเรียกว่า ข้าราชการหัวเมือง นั้น ต้องทำงานอยู่ห่างไกลจากพระเนตรพระกรรณของพระเจ้าแผ่นดิน และต้องทิ้งธุรกิจของตนมาประจำการปกครองบ้านเมืองให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากภัยอันตราย ดังนั้น ราษฎรก็ต้องตอบแทนคุณเจ้าเมืองด้วยการออกแรงช่วยทำการงานให้ หรือแบ่งสิ่งของซึ่งทำมาหาได้ เช่น ข้าว ปลา อาหาร เป็นต้น โดยรัฐบาลในราชธานีไม่ต้องเลี้ยงดู จึงให้ค่าธรรมเนียมในการต่าง ๆ ที่ทำในหน้าที่เป็นถังเงินสำหรับใช้สอย
แม้ว่าการปูนบำเหน็จจะยังไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอน เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยของพระเจ้าแผ่นดิน แต่การที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบำเหน็จความชอบแก่ผู้ใด ผู้นั้นก็จะต้องเป็นบุคคลที่ประกอบคุณงามความดี ทำคุณประโยชน์แก่ราชการมาพอสมควร หาใช่พระราชทานตามอำเภอใจไม่ และยังมีกฎหมายศักดินาเป็นเครื่องรองรับสถานะข้าราชการด้วย เพราะฉะนั้น การที่ได้รับปูนบำเหน็จความชอบในเรื่องยศศักดิ์ และตำแหน่ง ย่อมจะมีความหมายและมีสิทธิผลประโยชน์มากกว่าเงินเดือน การที่ได้พระมหากรุณาธิคุณโปรดฯ ให้ผู้ใดดำรงตำแหน่งใด นอกจากจะเป็นเกียรติยศสูงส่งแก่ตนและวงศ์สกุลแล้ว ยังได้รับผลประโยชน์โดยตรงถึงสองทาง คือ ทางหนึ่งได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ อีกทางหนึ่ง คือ ผลประโยชน์การปฏิบัติหน้าที่นั้น ๆ เช่น การได้รับค่าธรรมเนียม ค่าส่วนลดจากการปฏิบัติงาน เป็นต้น ผู้ที่เป็นข้าราชการสมัยนั้นจึงไม่ได้มีความมุ่งหมายที่จะใช้อาชีพรับราชการเป็นเครื่องเลี้ยงตัว แต่มุ่งรับใช้เจ้านายโดยมุ่งถึงองค์พระเจ้าแผ่นดินเป็นส่วนใหญ่ รับราชการด้วยความจงรักภักดีเป็นที่ตั้ง เพื่อให้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าอยู่หัวหรือเจ้านายของตน
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงเห็นปัญหาในการให้ค่าตอบแทนในแบบที่ผ่านมา เป็นต้นว่า ข้าราชการหัวเมืองแม้จะไม่ได้เงินเดือนจากรัฐ แต่ราษฎรต้องออกแรงช่วยทำงาน และแบ่งสิ่งของที่หามาได้ให้เจ้าเมือง แต่ข้าราชการทหารที่ถูกเกณฑ์มารับราชการนั้น ไม่ได้รับเงินเดือนจากรัฐเช่นกัน แต่ยังต้องเอาอาหารมาเองด้วย นอกจากนี้ ระบบกินเมือง เจ้าเมืองจะมีอำนาจมาก ประกอบกับขาดการควบคุมสอดส่องจากรัฐบาลกลาง การเลี้ยงชีพต้องอาศัยเงินตรามากขึ้น ผลประโยชน์ที่เจ้าเมืองได้รับในแบบเดิมไม่เพียงพอเลี้ยงชีพ ทำให้มีประเพณีหากินโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการขึ้น จึงได้ทรงปรับปรุงระบบการบริหารงานบุคคลใหม่ โดยให้ความสำคัญในเรื่องการให้ค่าตอบแทนในรูปของตัวเงิน
โดยในปี พ.ศ. 2418 พระองค์ได้นำระบบการจ่ายเงินเดือนมาใช้กับข้าราชการและพลเรือน โดยในขั้นแรกข้าราชการที่อยู่ในกระทรวงการคลังจะได้รับเงินเดือนก่อน ต่อมาได้ขยายออกไป กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม ส่วนข้าราชการหัวเมืองนั้น ในขั้นแรกให้เฉพาะข้าราชการที่อยู่ในกองข้าหลวงเทศาภิบาลก่อน และค่อยๆขยายไปถึงเจ้าเมือง กรมการเมือง และอำเภอ สำหรับอัตราเงินเดือนที่กำหนดในแต่ละกระทรวง จะไม่เป็นระเบียบเดียวกัน แล้วแต่เจ้ากระทรวงจะพิจารณาตามความเหมาะสม แต่สำหรับข้าราชการในหัวเมือง ในระยะต่อ ๆ มาได้กำหนดอัตราเงินเดือนไว้แน่นอน และมีการปรับปรุงเป็นระยะ
อัตราเงินเดือนข้าราชการในมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ ร.ศ. 119 (พ.ศ. 2443) ตั้งแต่ตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ จนถึงนักการและคนใช้
ชั้น | ตำแหน่ง | ขั้นที่ | เงินเดือน (บาท) | เพิ่มปีละ (บาท) | รวมเวลาราชการ | |
---|---|---|---|---|---|---|
อย่างต่ำ | อย่างสูง | |||||
เอก | ข้าหลวงใหญ่ | 1 | 1,200 | 1,600 | 200 | 3 ปี |
ฯลฯ | ||||||
จัตวา | พนักงานอัยการเมือง | 2 | 150 | 170 | 10 | 3 ปี |
นักการ | 2 | 16 | 20 | 2 | 3 ปี | |
คนใช้ | 3 | 10 | 14 | 2 | 3 ปี |
อัตราเงินเดือนข้าราชการหัวเมือง ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2445)
ตำแหน่ง | ขั้นที่ | เงินเดือน (บาท) | เพิ่มปีละ (บาท) | |
---|---|---|---|---|
อย่างต่ำ | อย่างสูง | |||
ข้าหลวงเทศาบาล | 1 | - | 1,200 | - |
ฯลฯ | 2 | 1,000 | 1,100 | 20 |
3 | 800 | 900 | 20 | |
ปลัดอำเภอ, สมุห์บัญชีอำเภอ | 1 | 80 | 100 | 5 |
2 | 60 | 70 | 2 | |
3 | 40 | 50 | 2 |
อัตราเงินเดือนข้าราชการหัวเมือง ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2445) ซึ่งได้ปรับปรุงใหม่
ตำแหน่ง | ขั้น 1 | ขั้น 2 | ขั้น 3 | ขั้น 4 | ชั้น 5 |
---|---|---|---|---|---|
ข้าหลวงประจำมณฑล | แล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน | ||||
ผู้ว่าราชการเมือง, ปลัดมณฑล | 600 | 500 | 450 | 400 | - |
ฯลฯ | |||||
ปลัดอำเภอ | 80 | 60 | 50 | 40 | - |
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ข้าราชการทุกๆ คน เมื่อเริ่มรับราชการในตำแหน่งใด จะได้รับเงินเดือนในอัตราอย่างต่ำ คือ ขั้น 4 ก่อน เมื่อใช้ความรู้ความสามารถทำงานในหน้าที่ในตำแหน่งนั้นๆ ได้ทุกๆ อย่างเป็นการแน่นอน จึงจะได้รับการขึ้นเงินเดือน โดยปกติจะพิจารณาเมื่อขึ้นปีงบประมาณใหม่ โดยกระทรวงมหาดไทยได้วางหลักเกณฑ์ผู้ที่สมควรจะได้รับเงินเดือน ดังนี้
ทรงวิทย์ แก้วศรี และสุดใจ นิลวัฒน์. (2526). 200 ปี มหาจักรีบรมราชวงศ์ และวิวัฒนาการของระบบข้าราชการพลเรือน. กรุงเทพฯ : สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.)
Office of the Civil Service Commission (OCSC)
Icon made by www.flaticon.com is licensed by CC BY 3.0
>>เข้าสู่ระบบสำหรับเจ้าหน้าที่