เกี่ยวกับเรา ติดต่อเรา ค้นหา


วิวัฒนาการของระบบการเข้ารับราชการฝ่ายพลเรือน


สมัยก่อนรัชกาลที่ 5

สมัยก่อน พ.ศ. 2435 นั้น บุคคลที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการจะจำกัดอยู่ 3 จำพวก คือ เจ้านาย ขุนนาง และไพร่ เท่านั้น โดยมีวิธีการใช้บุคคลเข้ารับราชการดังต่อไปนี้

  1. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
  2. ถวายตัวให้เข้ารับราชการ
  3. เกณฑ์ให้เข้ารับราชการ
  4. คัดเลือกให้เข้ารับราชการ

สมัยรัชกาลที่ 5 – รัชกาลที่ 7 ตอนต้น

สมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการปฏิรูประบบการบริหารราชการแผ่นดิน รวมทั้งปรับปรุงระบบการคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการ โดยทรงหันไปจัดตั้งโรงเรียนเพื่อเตรียมบุคคลเข้ารับราชการ และทรงเลิกวิธีการเกณฑ์ไพร่และทาสมาเข้ารับราชการ ระบบฐานันดรไพร่ถูกยุบเลิกด้วย พ.ร.บ.ลักษณะเกณฑ์ทหาร ร.ศ. 124 ไพร่จึงได้เป็นประชากรอิสระสามารถที่จะศึกษาเล่าเรียนแล้วเข้ารับราชการในตำแหน่งหน้าที่แทนขุนนางมากขึ้น และในปี พ.ศ. 2459 รัชกาลที่ 6 ได้ทรงสถาปนาโรงเรียนข้าราชการพลเรือนขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สมัยรัชกาลที่ 7 – รัชกาลที่ 9 ตอนต้น

 

พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2471

  1. คุณสมบัติเบื้องต้นของผู้สมัครเข้ารับราชการ
    1. เป็นคนสัญชาติไทย
    2. อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี และไม่เกิน 40 ปี
    3. เป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์ ไม่ทุพพลภาพพิการ หรือไร้ความสามารถ หรือมีจิตใจฟั่นเฟือนในศีลธรรมอันดี
    4. ไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัว
    5. ไม่เป็นผู้ที่เคยต้องโทษจำคุก หรือถูกไล่ออกจากทบวงการใดๆ
  2. การสอบมี 2 หลักสูตร คือ
    1. สอบความรู้ทั่วไปสามัญ มัธยม 6 จากโรงเรียนรัฐบาล หรือเทียบเท่า
    2. สอบความรู้วิชาสามัญ ซึ่งกระทรวงทบวงกรมต่างๆ เป็นผู้ตั้งหลักสูตรเอง
  3. วิชาที่ใช้จัดสอบข้อเขียนมี 3 วิชา ได้แก่
    1. วิชาภาษาไทย
    2. วิชาความรู้รอบตัวเกี่ยวกับเมืองไทยและต่างประเทศที่สำคัญ
    3. วิชาเฉพาะกรม (สามารถเลือกสอบได้อีก 2 วิชา)
    • นอกจากนี้ผู้สมัครสอบต้องตอบคำถามของกรรมการผู้สอบไล่เพื่อพิจารณาถึงท่วงทีและวาจาของผู้สมัครสอบด้วย ผู้ที่สอบได้คะแนนมากกว่ามีสิทธิเลือกกระทรวงทบวงกรมที่ตนชอบเข้าทำราชการได้ก่อน ทั้งนี้ต้องถือความประสงค์ของทางราชการเป็นสำคัญ
  4. ตำแหน่งที่ได้รับเมื่อสอบบรรจุ
    1. ตำแหน่งชั้นราชบุรุษ
    2. ตำแหน่งสัญญาบัตร
      • ไม่ต้องสอบแข่งขัน แต่ต้องมีคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้
        • ได้รับปริญญา หรือประกาศนียบัตรจากมหาวิทยาลัยที่รัฐบาลรองรับวิทยฐานะ
        • มีภูมิความรู้ในวิชาการด้านเทคนิค
        • ได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง
        • เคยรับราชการมาก่อนและออกจากราชการไปโดยมิได้มีความผิด
    3. ข้าราชการพลเรือนวิสามัญ
      • คือ การที่รัฐบาลจ้างผู้ที่มีวิชาพิเศษมาทำการเฉพาะในเวลาที่จำกัด และทางกระทรวงสามารถบรรจุบุคคลนั้นเป็นเสมียนได้เลยโดยไม่ต้องผ่านการสอบไล่ แต่หากกระทรวงใดประสงค์จัดให้มีการสอบไล่ก็สามารถจัดการสอบไล่ขึ้นเองได้เช่นกัน

พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2476

  1. การเปลี่ยนแปลง
    • เปลี่ยนจากระบบชั้นยศมาเป็นระบบการกำหนดเงินเดือนตามตำแหน่ง
    • ยกเสมียนพนักงานขึ้นเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ
    • มอบหมายให้คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดสอบโดยจะเป็นผู้กำหนดหลักสูตรและวิธีการสอบแข่งขันในตำแหน่งต่างๆ
  2. เกณฑ์ของแต่ละตำแหน่ง
    • ตำแหน่งเสมียนพนักงาน: ต้องสอบแข่งขัน “วิชาเสมียนพนักงาน” และผู้เข้าสอบจะต้องได้รับประกาศนียบัตรมัธยมบริบูรณ์หรือเทียบเท่า
    • ตำแหน่งประจำแผนก: ต้องสอบแข่งขัน “วิชาข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นตรี” ได้ และได้รับปริญญาตรี หรือรับราชในตำแหน่งเสมียนมาไม่น้อยกว่า 4 ปี
    • ตำแหน่งหัวหน้าแผนก: ต้องสอบแข่งขัน “วิชาข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นโท” ได้ และได้รับปริญญาโท หรือรับราชในตำแหน่งประจำแผนกไม่น้อยกว่า 3 ปี
    • ตำแหน่งหัวหน้ากอง: ต้องสอบแข่งขัน “วิชาข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นเอก” ได้ โดยผู้ที่ได้รับปริญญาเอกจะต้องรับราชการมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี หากเป็นผู้ที่ได้รับปริญญาโทจะต้องรับราชการมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี
  3. หลักสูตรที่ใช้ในการสอบแข่งขัน
    • ภาควิชาการ
    • ภาคปฏิบัติการ

พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2479

  1. กำหนดอัตราเงินเดือนตามชั้นประจำตัวราชการและบรรจุบุคคลเข้าเป็นราชการชั้นต่างๆ ซึ่งแบ่งชั้นได้ ดังนี้
    • ข้าราชการชั้นจัตวา เป็นตำแหน่งเสมียนพนักงาน
    • ข้าราชการชั้นตรี เป็นตำแหน่งประจำแผนก
    • ข้าราชการชั้นโท เป็นตำแหน่งหัวหน้าแผนก
    • ข้าราชการชั้นเอก เป็นตำแหน่งหัวหน้ากอง
    • ข้าราชการชั้นพิเศษ เป็นตำแหน่งอธิบดีและปลัดกระทรวง
  2. การสอบรับบุคคลเข้ารับราชการ
    • กำหนดให้ อ.ก.พ.กระทรวง อ.ก.พ.กรม หรือ อ.ก.พ.จังหวัด จัดการสอบแข่งขันวิชาข้าราชการพลเรือนชั้นจัตวา และชั้นตรีได้ ส่วน ก.พ. มีหน้าที่เพียงกำหนดหลักสูตรและวิธีการสอบเท่านั้น
  3. วิธีเลือกสรร
    • การสอบแข่งขัน
    • การสอบคัดเลือก
    • การคัดเลือก
  4. ภาคการสอบ
    • ภาควิชาการ
    • ภาคปฏิบัติการ

พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2482

  • เปลี่ยนคำในส่วนคุณสมบัติของผู้สมัครสอบจาก “สัญชาติชาวสยาม” เป็น “สัญชาติไทย”

พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2485

  • การจัดสอบแข่งขันวิชาข้าราชการพลเรือนชั้นจัตวาและชั้นตรีกลับมาอยู่ในความรับผิดชอบของ ก.พ. แต่ในทางปฏิบัติยังคงให้กระทรวงทบวงกรมทำอยู่

พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2495

  • เพิ่มอนุมาตรา “(มาตรา 27) ไม่เคยเป็นผู้ถูกให้ออกจากราชการในทางวินัย”
  • ผู้สมัครสอบแข่งขันจะต้องมีพื้นฐานความรู้ตามที่จะได้กำหนดใน กฎ ก.พ. (มาตรา 30)

พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2497

  • ก.พ. มีอำนาจหน้าที่กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการสมัครสอบครั้งละหนึ่งร้อยบาท (มาตรา 11 อนุ 7)

พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518

วิธีเลือกสรรคนเข้าทำราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญมี 4 วิธี ดังนี้

  1. การสอบแข่งขัน
    • ให้บรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนโดยการสอบแข่งขันได้ในตำแหน่งนั้นๆ
  2. การคัดเลือก
    • ใช้เมื่อมีความจำเป็นพิเศษเท่านั้น เช่น กรณีบรรจุและแต่งตั้งผู้ได้รับทุนรัฐบาลศึกษาวิชาในประเทศหรือต่างประเทศ บรรจุแต่งตั้งผู้สำเร็จการศึกษาในวิชาชีพที่ขาดแคลน หรือ บรรจุและแต่งตั้งผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรที่ ก.พ. อนุมัติให้ส่วนราชการต่างๆ จัดให้มีการศึกษาขึ้นเพื่อเข้ารับราชการในส่วนนั้นโดยเฉพาะ เช่น ผู้ได้รับประกาศนียบัตรจากโรงเรียนศุลการักษ์ บรรจุในกรมศุลกากร เป็นต้น
  3. บรรจุผู้ทรงคุณวุฒิ
    • ใช้ในกรณีมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อประโยชน์แก่ราชการที่จะต้องบรรจุบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และความชำนาญสูงเป็นกรณีพิเศษเข้ารับราชการในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิ โดยให้กระทรวงทบวงกรมนั้นดำเนินการขออนุมัติ ก.พ. ได้
  4. บรรจุกลับเข้ารับราชการ
    • ผู้ไปรับราชการทหารแล้วขอกลับเข้ารับราชการพลเรือนตามเดิม
    • ข้าราชการพลเรือนผู้ออกจากราชการไปปฏิบัติงานใดๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีแล้วกลับเข้ารับราชการ
    • ผู้ออกจากราชการโดยเหตุอื่นขอบรรจุกลับ

ทรงวิทย์ แก้วศรี และสุดใจ นิลวัฒน์. (2526). 200 ปี มหาจักรีบรมราชวงศ์ และวิวัฒนาการของระบบข้าราชการพลเรือน. กรุงเทพฯ : สำนักงาน ก.พ.





สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.)

Office of the Civil Service Commission (OCSC)